

เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบหยดน้ำในอากาศ แสงจะหักเหเข้าสู่หยดน้ำ สะท้อนภายใน แล้วหักเหออกจากหยดน้ำอีกครั้ง กระบวนการนี้ทำให้แสงแยกออกเป็นสีต่าง ๆ ตามความยาวคลื่น แสงสีม่วงมีความยาวคลื่นสั้นที่สุด จึงหักเหมากที่สุด ส่วนแสงสีแดงมีความยาวคลื่นยาวที่สุด จึงหักเหน้อยที่สุด มุมที่แสงหักเหออกจากหยดน้ำเข้าสู่สายตาของผู้สังเกตการณ์อยู่ระหว่าง 40° ถึง 42°

1. รุ้งปฐมภูมิ (Primary Rainbow): เกิดจากการสะท้อนแสงภายในหยดน้ำเพียงครั้งเดียว แถบสีเรียงจากด้านในออกไปด้านนอกคือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
2. รุ้งทุติยภูมิ (Secondary Rainbow): เกิดจากการสะท้อนแสงภายในหยดน้ำสองครั้ง แถบสีจะเรียงลำดับตรงข้ามกับรุ้งปฐมภูมิ และมีความเข้มของสีที่จางกว่ารุ้งปฐมภูมิ

รุ้งกินน้ำมักปรากฏเป็นเส้นโค้งครึ่งวงกลมบนท้องฟ้า เนื่องจากพื้นดินบดบังส่วนล่างของวงกลม อย่างไรก็ตาม หากสังเกตจากที่สูง เช่น บนเครื่องบิน อาจเห็นรุ้งเป็นวงกลมเต็ม

นอกจากแสงอาทิตย์แล้ว แสงจากดวงจันทร์ก็สามารถทำให้เกิดรุ้งได้ เรียกว่า “รุ้งแสงจันทร์” หรือ “Moonbow” ซึ่งเกิดขึ้นในเวลากลางคืนเมื่อมีละอองน้ำในอากาศและแสงจันทร์ส่องผ่าน รุ้งแสงจันทร์มักมีสีจางกว่ารุ้งที่เกิดจากแสงอาทิตย์

การมองเห็นรุ้งกินน้ำขึ้นอยู่กับตำแหน่งของผู้สังเกตการณ์และแหล่งกำเนิดแสง โดยทั่วไป ผู้สังเกตการณ์ควรหันหลังให้กับแหล่งกำเนิดแสง (เช่น ดวงอาทิตย์) และมองไปยังบริเวณที่มีละอองน้ำในอากาศ มุมที่เหมาะสมสำหรับการมองเห็นรุ้งอยู่ระหว่าง 40° ถึง 42° จากแนวตรง

ที่มาของข้อมูล:





ภาพประกอบ
ที่มา: lesa.biz
รุ้งกินน้ำ